There's something about money.

About

14/10/57

On 22:19 by Moneytips in , ,    No comments
 
ที่มารูปภาพ http://mikeleloconte.ru
 
เรื่องการใช้เงิน 800 บาท ในหนึ่งเดือน กำลังอยู่ในกระแส จะว่าไปแล้วก็ดังมานานแล้ว ตั้งแต่เป็นกระทู้ยอดฮิตใน pantip จนมีการนำเอามาทำเป็นหนังสั้น นำเสนอออนไลน์ เนื้อเรื่องโดนใจใครต่อใคร บางคนที่กำลังลำบากดูแล้วมีกำลังใจ คนที่สบายดีแล้ว ไม่คิดว่าจะมีคนลำบากขนาดนี้ ก็อาจมองว่านี้มันละครชัดๆ ใครจะไปทำได้แบบนี้ ชีวิตจริงถ้ามีโจทย์แบบนี้จริง ก็คงต้องอาศัยโชคเอามากๆ ต้องเจอเจ้านายใจดี ต้องอยู่ใกล้ที่ทำงาน เรื่องของกินต่อวันอาจไม่ยาก ถ้าเป็นสมัยก่อน เข้าไปที่วัดสักแห่ง ขอเป็นศิษย์วัด เด็กวัดสมัยก่อนได้ดิบได้ดีมากมาย วัด มีความหมายต่อสังคมมากกว่าปัจจุบัน ใครที่เคยเรียนวัด เคยมีเพื่อนเป็นเด็กวัดคงจะรู้ดี
 
บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ ปรึกษาหารือ ไม่ต้องเสียสตางค์ มันเยี่ยมไปเลย แต่พอมาสมัยนี้ วัด ไม่ได้เป็นที่พึ่งพิงได้เหมือนสมัยก่อน อีกทั้งคนในสังคมก็มองว่าการเป็นเด็กวัดดูไม่ดีเอาเสียเลย เหมือนว่าจะไปเกาะศาสนา หาประโยชน์จากวัด ทั้งที่เมื่อมองความเป็นจริง หลวงพ่อ หลวงพี่ แต่ละวัดได้รับปัจจัยและอาหารมากล้นเกินความจำเป็น หลายครั้งที่เราจะเห็นการขายกลับคืนแก่แม่ค้า ถ้าของเหลือเหล่านั้นถูกจัดสรรอย่างเป็นระบบ
 
เราจะเห็นการแบ่งปัน จากคนที่มีมากพอ ไปสู่คนที่ต้องการอย่างแท้จริง โดยอาศัยวัด เป็นสื่่อกลาง ย้อนกลับมาที่เรื่องเงิน 800 เอาแค่หาสถานที่พักให้ใกล้ที่ทำงานก็ลำบากสุดๆ ละ ยุคนี้ยังมีรถเมล์ฟรีให้ช่วยแก้โจทย์ ที่ต้องใช้เงิน 30 บาทต่อวันได้ แต่คิดยังไง ก็ลำบาก ขออย่าให้ได้เกิดเรื่องนี้กับตัวเองนั่นแหล่ะดีที่สุด
 
ทำไมเขาต้องใช้แค่ 800 นั่นคือสิ่งที่เราควรจะเรียนรู้
- ความรับผิดชอบต่อครอบครัว
- เก็บเงินเพื่ออนาคตของลูก
- หรือว่าขาดการวางแผนการเงินที่ดี
 
ประเด็นคือตรงนี้ ถ้าทุกคนมีความรู้ทางการเงินให้มากพอ รู้จักวางแผนการเงิน ทั้งการหาเงิน การใช้เงินและเก็บเงิน ย่อมลดโอกาสนำพาตัวเองเข้าสู่มุมอับทางการเงิน แต่การศึกษาในปัจจุบันเห็นผลแล้วว่าไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไม่ได้ช่วยทั้งการหาเงิน การใช้เงิน และการเก็บเงิน คนจบการศึกษาในปัจจุบัน ไม่ว่าจะระดับไหน ไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าพวกเขาหรือเธอจะเอาตัวรอดในชีวิตจริงได้ ไม่สามารถบอกถึงความฉลาด ความเฉลียว และความเป็นคนที่มีคุณภาพแต่อย่างใด
 
 
 

 
 
 

 
 




16/7/57

On 22:22 by Moneytips in ,    No comments




  1. ออมเงินให้เป็นสันดาน
  2. สร้างรายได้หลายๆทาง
  3. กระจายการลงทุน
  4. รีบทำตั้ิงแต่อายุน้อย
  5. หยุดล้างผลาญกับการใช้จ่าย
  6. หยุดอ้างว่าทำไม่ได้
  7. มุ่งมั่นหาความรู้ในสายอาชีพ
  8. ไม่เพ้อเจ้อคอยวาสนา

20/4/57

On 05:34 by Moneytips in , ,    No comments

พ.ร.บ. รถยนต์

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้รถ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ทุกๆปีคุณต้องทำ พ.ร.บ.รถ ใช่หรือไม่? คุณเคยมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ พ.ร.บ.รถหรือไม่  เชื่อได้ว่าหลายท่านอาจยังไม่ทราบเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการทำ พ.ร.บ. ถึงสิทธิ์คุ้มครองต่างๆ วันนี้จึงขอนำตัวอย่างคำถาม หรือข้อสงสัยมาตอบคำถามกัน เพื่อให้เข้าใจและรู้จัก พ.ร.บ.รถ ได้มากยิ่งขึ้นค่ะ


Q: พ.ร.บ.รถ คืออะไร ?
A: พ.ร.บ. ย่อมาจาก  พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535  ซึ่งเป็นการทำประกันสุขภาพตัวหนึ่งที่บังคับโดยรัฐตามกฎหมาย ให้ประชาชนทุกคนที่ใช้รถ หรือพาหนะ ต้องทำประกันสุขภาพตัวนี้ทุกปี

Q:คุณจะได้อะไรจากการทำ พ.ร.บ.รถ?
A:เนื่องจากการขับยานยนต์ เป็นเงื่อนไขที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นการทำ พ.ร.บ.รถ จึงเป็นการเฉลี่ยความเสี่ยงระหว่างผู้ที่มีความเสี่ยงสูง กับผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะการเกิดเหตุการณ์ในแต่ละครั้ง มักจะเกิดความสูญเสียทั้งร่างกายและทรัพย์สิน ดังนั้นคุณจะได้มีประกันที่ช่วยคุ้มครองในด้านนี้มากยิ่งขึ้น

Q: ใครเป็นผู้ได้รับสิทธิ์คุ้มครองจาก พ.ร.บ. บ้าง?
A: ผู้ได้รับสิทธิ์จะมี 2 ส่วน ดังนี้
1. ประชาชนทุกคนที่ได้รับอุบัติเหตุจากรถ ไม่ว่าจะอยู่ในรถ หรือนอกรถก็ตาม
2. ผู้ขับขี่รถ/เจ้าของรถ/คนที่นั่งอยู่ในรถที่ไม่ได้เป็นผู้ขับขี่ / บุคคลที่อยู่ภายนอกรถ หากผู้ขับขี่เป็นฝ่ายผิด จะได้รับความคุ้มครองเฉพาะค่าเสียหายเบื้องต้น

Q:เมื่อเกิดเหตุการณ์ คุณจะได้รับการคุ้มครองอะไรบ้าง และเท่าไร?
A: ความเสี่ยหายที่ได้รับความคุ้มครอง ได้แก่
1. ค่าเสียหายเบื้องต้นต่อราย (ทุกคนได้เท่ากัน)
1.1 กรณีบาดเจ็บ จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท
1.2 กรณีเสียชีวิตทันที จ่าย 50,000 บาท
1.3 กรณีบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา จะได้ค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 15,000 บาทและค่าปลงศพ 35,000 บาท
2. ค่าเสียหายส่วนที่เกินจากค่าเสียหายเบื้องต้น (หากผู้ประสบภัยไม่ได้เป็นฝ่ายผิด)
2.1 กรณีบาดเจ็บ จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท
1.2 กรณีเสียชีวิตทันที สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพบภาพอย่างถาวร จ่ายรวม 100,000 บาท
1.3 กรณีบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา จ่ายค่าเสียหายรวม 100,000 บาท
คำถามเหล่านี้ อาจมีหลายท่านสงสัย ไม่ว่าจะเป็นคนที่ขับรถเป็นผู้ทำ พ.ร.บ. รวมทั้งคนที่ไม่ได้ขับรถ ซึ่งถ้าคุณรู้สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้เกิดประโยชน์ในการใช้สิทธิ์คุ้มครองได้อย่างถูกต้องค่ะ อย่าเพียงแต่รู้ว่าต้องทำ และทำตามกฎหมายเลยนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก คุณรู้จัก พ.ร.บ.รถ ดีแล้วหรือยัง?

9/4/57

On 22:23 by Moneytips in    No comments

ฉากสุดท้ายเปโตรดอลล่าร์

ที่มาบทความจากthanong fanclub fanpage

วันนี้ขอเริ่มซีรีส์ยาวเรื่องฉากสุดท้ายของเปโตรดอลล่าร์ เพื่อปูพื้นให้เห็นว่าอำนาจการเมืองและการเงินโลกกำลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการประลองกำลังกันอย่างไรขั้วอำนาจเก่าและขั้วอำนาจใหม่ จักรวรรดิสหรัฐอเมริกาหรือมหาอำนาจตะวันตกที่ครองโลก หรือดูแลระเบียบโลกปัจจุบันตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2กำลังเผชิญกับการท้าทายอะไร? และที่สำคัญที่สุดสหรัฐฯจะสามารถรักษาเงินดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกได้อีกต่อไปได้นานแค่ใหน? และปัญหาความตรึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมืองโลกที่เราเห็นทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติยูเครน ปัญหาเกาหลีเหนือvsเกาหลีใต้และญี่ปุ่น การสูญหายของMH370 ความปั่นป่วนในตะวันออกกลาง ไปจนถึงภาวะความผันผวนของตาดการเงินโลกเป็นช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เป็นการสะท้อนของอาการ หรือการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายท้ายของเปโตรดอลล่าร์หรือไม่อย่างไร?


มีข่าวใหญ่เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า ประธานาธิบดีโอบาโดนเตะออกมาจากซาอุดิ อาราเบียอย่างหมดฟอร์ม แต่สหรัฐฯพยายามปิดปากเรื่องนี้อย่างมิดชิดโอบามาบินไปกรุงริยาห์ด ซาอุดิอาราเบีย เพื่อที่จะเข้าเฝ้ากษัตริย์อับดุลลาห์และพูดคุยกันถึงสัมพันธ์ระหว่าง2ประเทศ หลังจากนั้นจะมีพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำแก่โอบามาที่แคมป์ส่วนพระองค์กลางทะเลทราย ที่อยู่นอกกรุงริยาดห์ โอบามาต้องการไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและซาอุฯที่เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่โอบามาปฏิเสธที่จะส่งทหารเข้าไปล้มรัฐบาลAssadในซีเรียตามความต้องการของซาอุดิฯ และอิสราเอล และนอกจากนี้ โอบามามีทีท่าต้องการสร้างสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับอิหร่าน คู่ปรับของซาอุฯ แผนการการถอนทหารของสหรัฐฯออกจากอิรัคและอัฟกานิสถานในระยะข้างหน้ายิ่งจะสร้างความไร้เสถียรภาพให้กับซาอุฯและอิสราเอลที่นับวันยิ่งจะถูกโดดเดี่ยว และถูกท้าทายจากอิหร่านมากยิ่งขึ้น เพราะว่ารัสเซียและจีนรวมทั้งอินเดียแอบหนุนอิหร่านอย่างเงียบๆอยู่ อเมริกาครอบงำตะวันออกกลางมานานแล้วนับตั้งแต่หลังปี1972 คราวนี้มหาอำนาจอีกขั้วต้องการเข้าไปมีอิทธิพลบ้าง

ปรากฎว่าหลังจากที่โอบามาเข้าเฝ้ากษัตริย์อับดุลล่าห์ และมีการสนทนากัน2ชั่วโมง มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นคือทางซาอุดิฯงดการเลี้ยงอาหารค่ำให้โอบามาอย่างกระทันหัน ทำให้มีการคาดคะเนอย่างแพร่หลายว่าโอบามาโดนซาอุฯเตะออกนอกประเทศ เพราะว่าน่าจะคุยกันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐฯในตะวันออกกลาง และผลประโยชน์ของสหรัฐฯและซาอุฯเริ่มที่จะหันเหออกจากกัน ทางรัฐบาลสหรัฐฯพยายามปฏิเสธข่าวว่า ไม่ได้มีการเลี้ยงอาหารค่ำให้โอบามาอยู่ในหมายกำหนดการการเยือนซาอุฯ แต่เรื่องนี้เหมือนกับเรื่องMH370ปิดกันได้ไม่มิด

โอบามาไปเยือนซาอุฯหลังจากไปเยือนยุโรปเป็นเวลา4วัน เพื่อตรวจแถวผู้นำพันธมิตรทั่วโลกที่ไปร่วมประชุมปัญหานิวเคลียร์ที่กรุงเฮค ของเนเธอร์แลนด์ว่ายังเป็นพวกเดียวกันดีหรือเปล่า เพราะว่าวิกฤติยูเครนทำให้เกิดการแบ่งแยกอย่างชัดเจนระหว่างขั้วมหาอำนาจสองขั้ว คือสหรัฐฯ vs รัสเซียและจีน เป็นที่ชัดเจนว่าอำนาจการต่อรองของสหรัฐฯกับขั้วรัสเซีย+จีนเริ่มที่จะลดลง เห็นได้จากการที่สหรัฐฯไม่สามารถจะแซงชั่นรัสเซียได้ถนัดมือ จากการที่รัสเซียได้ไปเอาไครเมียมาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนรัสเซีย และทางรัสเซียเริ่มมีการระดมทหารเตรียมพร้อมรบเต็มที่ แต่ทางสหรัฐฯและนาโต้ดูแล้วไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้าทางทหารกับรัสเซียในยามนี้

การไปเยือนซาอุดิฯของโอบามา ก็เพื่อที่จะต่อยอดกับกษัตริย์อับดุลลาในเรื่องที่ไม่ลงรอยกันในตะวันออกกลาง และผลการพูดคุยที่ออกมาไม่สัมฤทธิ์ผลทำให้มีการตั้งคำถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและซาอุฯจะไปในทิศทางใหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งซาอุฯจะยังคงขายน้ำมันแลกดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเสาหลักของเปโตรดอลล่าร์หรือไม่ อำนาจทางการเงินของสหรัฐฯ หรือความเป็นเงินสกุลหลักของโลกของสหรัฐฯอยู่ที่เปโตรดอลล่าร์ หรือการที่ซาอุดิฯ และประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางขายน้ำมันที่สูบขึ้นมาเพื่อแลกกับดอลล่าร์สหรัฐฯ และเอาเงินดอลล่าร์นั้นรีไซเกิ้ลกลับไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอีกทีเพื่อเก็บเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ

สิ่งที่ซาอุดิฯต้องการมากที่สุดในขณะนี้คือให้สหรัฐฯล้มรัฐบาลAssadในซีเรียที่เป็นปฏิปักษ์กับราชวงศ์ซาอุดิฯ และให้ช่วยถล่มอิหร่าน เพราะว่าทั้งซาอุดิฯและอิหร่านขัดแข้งกันทั่งเรื่องนิกายทางศาสนาและผลประโยชน์การเมืองและความมั่นคง ซาอุดิฯกลัวอิหร่านมากที่สุดเวลานี้ ในขณะที่อิสราเอลก็เตรียมหาหนทางที่จะส่งกองทัพอากาศไปถล่มอิหร่าน เพื่อบังคับให้สหรัฐฯส่งกองกำลังทหารเข้าไปช่วยอินราเอลโดยปริยาย

พูดกันได้เลยว่าซาอุดิฯและอิหร่านกำลังชิงความเป็นใหญ่ในตะวันออกกลาง โดยมีมหาอำนาจโลก2ขั้วกำลังถือหางอยู่ ถ้าสหรัฐฯทำให้ซาอุดิฯเคือง หรือมีทีท่าว่าไม่สามารถจะรักษาความมั่นคง หรือผลประโยชน์ของซาอุดิฯได้ในตะวันออกกลาง ซาอุดิฯจำเป็นต้องทบทวนนโยบายเปโตรดอลล่าร์ อันเป็นสิ่งที่สหรัฐฯเกรงกลัวที่สุด เพราะว่าถ้าหากเปโตรดอลล่าร์ต้องล่มสลาย เงินดอลล่าร์จะกลายเป็นกระดาษที่ไร้ค่า เพราะว่าไม่มีอะไรมาหนุน หรือจูงใจให้คนถือดอลล่าร์อีกต่อไป

ความไม่ลงรอยกันในนโยบายการต่างประเทศและความมั่นคงในเรื่องซีเรีย อิหร่าน อิยิปต์ อิรัค ฯลฯ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและซาอุดิฯร้าวฉานและเสื่อมลงไปอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ซาอุดิฯมีความต้องการที่จะออกจากเงาของอิทธิพลสหรัฐฯ แม้ว่าในทางปฏิบัติแล้วจะไม่ง่ายนัก

ช่วงปลายปีที่แล้วประธานาธิบดีโอบามาปฏิเสธที่จะส่งทหารเข้าไปรบในซีเรีย เพื่อล้มรัฐบาลAssad หลังมีข่าวว่ามีการใช้อาวุธเคมีเพื่อฆ่าประชาชน ทำให้ซาอุดิฯโกรธเคืองสหรัฐฯอย่างมาก นอกจากนี้การที่สหรัฐฯไม่เอาจริงกับอิหร่านซ้ำกลับพยายามรื้อสัมพันธ์กับอิหร่านให้ดีขึ้น ทำให้ซาอุดิฯมีความรู้สึกไม่มั่นคง เนื่องจากอิหร่านเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของซาอุดิฯ ดังนั้นทางริดยาดห์ต้องการทบทวนความสัมพันธ์กับสหรัฐฯในทุกระดับ

ตั้งแต่ปี1972เป็นต้นมา เปโตรดอลล่าร์เป็นเสาหลักของความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิฯและสหรัฐฯ โดยที่ซาอุดิฯ ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกตอนนั้นตกลงที่จะขายน้ำมันเป็นเงินสกุลดอลล่าร์ แลกเปลี่ยนกับการที่ได้รับความร่วมมือทางทหารและความมั่นคงจากสหรัฐฯ ทำให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันอื่นๆในกลุ่มโอเปคเข้าร่วมด้วยในการสร้างเปโตรดอลล่าร์

ด้วยแสนยานุภาพทางทหารที่เกรียงไกร สหรัฐฯสามารถใช้บ่อน้ำมันของตะวันออกกลางทั้งหมดที่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของเพื่อมาหนุนค่าเงินดอลล่าร์

ในเดือนสิงหาคมปี1971 เงินดอลล่าร์แทบจะไร้ค่าเมื่อประธานาธิบดีนิกสันยกเลิกการผูกดอลล่าร์กับทองคำ คือเบี้ยวไม่ให้คนถือดอลล่าร์ไปแลกทองในระบบมาตรฐานทองคำกับUS Federal Reserve ทำให้ดอลล่าร์กลายเป็นเงินกระดาษที่พิมพ์ออกมาเปล่าๆแบบIOU แต่เปโตรดอลล่าร์ทำให้ทุกประเทศต้องสำรองดอลล่าร์ในการซื้อน้ำมัน ทำให้มีดีมานด์สำหรับดอลล่าร์ และทำให้ดอลล่าร์รักษาความเป็นเงินสกุลหลักของโลกเอาไว้ได้

เมื่อปลายปีที่แล้ว เจ้าชาย Bandar bin Sultan หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของซาอุดิฯบอกว่าพวกนักการทูตว่า นอกจากจะไม่ส่งกำลังเข้าไปล้มรัฐบาลAssadในซีเรียแล้ว สหรัฐฯยังไม่นุนอิสราเอลอย่างเต็มที่ในปัญหาปาเลสไตน์ รวมทั้งไม่สนับสนุนซาอุดิฯที่เข้าไปช่วยบาห์เรนในการปราบปรามผู้ประท้วงในปี2011ที่อาจจะลามไปทั่วโลกอาหรับ ทำให้ซาอุดิฯจำต้องทบทวนความสัมพันธ์ทุกอย่างกับสหรัฐฯ รวมทั้งเปโตรดอลล่าร์

ซาอุดิฯนอกจากจะขายน้ำมันเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐฯแล้ว ยังมีเงินทุกสำรองระหว่างประเทศที่ส่วนมากเก็บอยู่ในรูปดอลล่าร์หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเป็นจำนวนสูงถึง$690,000ล้าน แหล่งข่าวซาอุดิฯพูดเมื่อเดือนตุลาคมปร2013ว่า ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯกำลังได้การทบทวน และอะไรก็เกิดขึ้นได้

ซาอุดิ ได้มีการสร้างสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับจีนขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะว่าจีนได้กลายเป็นลูกค้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของซาอุดิฯ แทนสหรัฐฯอเมริกาไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของซาอุดิฯ เจ้าชายSalman Bin Abdulaziz Al Saudได้ไปเยือนปักกิ่งอย่างเป็นทางการ เพื่อพบปะและพูดคุยกับผู้นำจีน ทั้ง 2 ประเทศให้คำมั่นว่าจะเสริมสร้างสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ด้วยกัน แน่นอนต้องมีการพูดคุยกันถึงความเป็นไปได้ของเปโตรหยวน

ขณะนี้ จีนพยายามทุกอย่างเพื่อที่ล้มสหรัฐฯทางการเงิน ด้วยการสร้างเปโตรหยวนขึ้นมาแทนเปโตรดอลล่าร์ คือต้องการซื้อน้ำมันเป็นหยวน

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯมีเงินดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก เพราะว่าสหรัฐฯตอนนั้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ส่งออกมากที่สุดในโลกและเป็นประเทศเจ้าหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่มาในวันนี้ สหรัฐฯกลายเป็นประเทศที่ลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก มีการขาดดุลการค้ามากที่สุดในโลก

ในทางตรงข้ามจีนตอนนี้ได้ก้าวเข้ามากลายเป็นประเทศที่มีปริมาณการค้าขายมากที่สุดในโลก เป็นประเทศเจ้าหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นประเทศที่มีการส่งออกมากที่สุดในโลก และมีการนำเข้าน้ำมันแซงหน้าสหรัฐฯไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้สหรัฐฯจะมีปัญหาในการรักษาดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก เพราะว่าปัจจัยพื้นฐานของสหรัฐฯได้เปลี่ยนไปอย่างมาก ในขณะที่จีนเริ่มมีความแกร่งมากยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่าเงินหยวนเริ่มจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในเวทีการเงินระหว่างประเทศ ลอนดอนได้เซ็นสัญยาความร่วมมือกับจีน เพื่อว่าจะได้เป็นศูนย์กลางการทำธุรกรรมการเงินหยวนของโลก ออสเตรเลียและญี่ปุ่นมีการเซ็นสัญญาหยวนสว๊อปกับจีน คือจะค้าขายระหว่างกันโดยไม่ต้องผ่านเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีอีก20กว่าประเทศที่มีข้อตกลงสว๊อปทางการเงินกับจีน และจำนวนประเทศที่จำทำหยวนสว๊อปกับจีนมีแต่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เนื่องจากจีนเป็นประเทศผู้ค้าและผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลกแล้ว

ก้าวต่อไปของจีน คือการสร้างเปโตรหยวน ซึ่งจะสามารถทำให้จีนใช้หยวนซื้อน้ำมันได้ แทนที่จะต้องเอาหยวนไปแลกดอลล่าร์ก่อนที่จะไปซื้อน้ำมัน

มีความคืบหน้าพอสมควรสำหรับเปโตรหยวน คือทั้งรัสเซียและอิหร่านตกลงที่จะขายน้ำมันให้จีนผ่านเงินหยวน นั้นหมายความว่า นำมันจำนวน1ล้านบาเรลล์ต่อวันซื้อขายเป็นหยวนไปเรียบร้อยแล้ว


เวเนซูเอลล่าเตรียมการที่จะขายน้ำมันเป็นหยวนเหมือนกัน ไม่เอาดอลล่าร์เพราะว่าเวเนซูเอลล่าไม่ถูกกับทางสหรัฐฯอย่างมาก เพราะว่าสหรัฐฯต้องการล้มรัฐบาลเวเนซูเอลล่า

แองโกล่าต้องการขายน้ำมันเป็นหยวนเหมือนกัน เพราะว่าจีนเป็นลูกค้ารายใหญ่สุด ซื้อน้ำมันจากแองโกล่าครึ่งหนึ่งของการส่งออกทั้งหมด

ซูดานก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ทางการเมืองกับจีนในระดับที่ดี ต้องการขายน้ำมันเป็นหยวน

ถ้าหากรัสเซีย อิหร่าน แองโกล่า ซูดานและเวเนซุเอลล่าขายน้ำมันให้จีนเป็นหยวน แสดงว่าปริมาณน้ำมัน5ล้านบาเรลล์ต่อวันจะเป็นการซื้อขายเป็นหยวน แทนที่จะเป็นดอลล่าร์

เมื่อเป็นเช่นนั้น อาจจะต้องถึงเวลาบอกลาเปโตรดอลล่าร์ได้แล้ว

จุดเริ่มต้นเปโตรดอลล่าร์

ก่อนสงครามโลกครั่งที่2จะจบลง ทางพันธมิตรตะวันตกรู้อยู่แล้วว่าจะชนะสงคราม มีการเตรียมตัวที่จะให้เงินดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก แทนเงินปอนด์ของอังกฤษที่ย่อยยับจากสงคราม ระบบการเงินระหว่างประเทศBretton Woodsจึงถือกำเนิดขึ้นที่ Bretton Woods, New Hamshireของสหรัฐฯ เพราะว่ามีการประชุมที่นั้น เป็นการผลักดันโดยอังกฤษที่รู้ตัวดีว่าต่อไปต้องยอมทำตัวเป็นเบอร์2 รองจากสหรัฐฯ และให้สหรัฐฯเป็นมหาอำนาจของโลก

สหรัฐฯมีทองคำสำรองอยู่20,000กว่าตัน ที่พวกcentral plannersจัดฉากเอามาต๊ะไว้ จำนวนนี้มากเพียงพอที่จะสร้างระบบการเงินโลกใหม่ ทดแทนระบบเก่าที่พังจากสงคราม โดยที่เงินดอลล่าร์จะเป็นเงินสกุลหลักของโลกหนุนด้วยทองคำสำรอง

Bretton Woods เป็นระบบการเงินระหว่างประเทศแบบคงที่ ที่อิงมาตรฐานทองคำ โดยที่เงินสกุลต่างๆของโลกเอามาผูกกับค่าเงินดอลล่าร์ในอัตราที่คงที่ ไม่ใช่แกว่งไปแกว่งอย่างไร้ทิศทางมาเหมือนทุกวันนี้ และดอลล่าร์ก็เอาไปผูกกับทองอีกต่อหนึ่งที่อัตรา$35ต่อออนซ์ ประเทศต่างๆ รวมทั้งสยามประเทศเริ่มมีการตุนดอลล่าร์เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการค้าขายระหว่างประเทศ และดอลล่าร์นี้สามารถแลกคืนเป็นทองจากรัฐบาลสหรัฐฯได้ในอัตราที่คงที่ หรือ$35ต่อออนซ์

แต่ช่วงปลายทศวรรษ1960s สหรัฐฯมีปัญหาการเงิน เพราะมีภาระสงครามเวียดนาม การใช้จ่ายสำหรับสวัสดิการสังคม และการขาดดุลที่สูง ทำให้US Federal Reserveมีการพิมพ์เงินออกมากเกินทองคำสำรองที่มีอยู่ ปริมาณเงินดอลล่าร์ที่เพิ่มขึ้นในระบบนี้ ทำให้ธนาคารกลางในหลายๆประเทศ รวมทั้งผู้ถือดอลล่าร์อื่นๆไม่มั่นใจในดอลล่าร์ จึงเอาดอลล่าร์ไปแลกทองแทน ทองคำสำรองสหรัฐฯร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ แต่พวกcentral plannersวงใน น่าจะฉกทองไปก่อนเพื่อน

ผลที่ตามมาก็คือทองคำสำรองของสหรัฐฯร่อยหรอลงอย่างรวดเร็วจาก20,000กว่าตันเป็น 8,100ตันในปี1971 ถ้าไม่ทำอะไร ผู้ถือดอลล่าร์จะแลกเป็นทองจนสหรัฐฯไม่เหลือทองแม้แต่ออนซ์เดียวในคลัง ในวันที่ 15 สิงหาคม 1971ประธานาธิบดีนิกสันจึงเลิกเอาดอลล่าร์มาผูกกับทองเพื่อสะกัดไม่ให้ทองไหลออก ปิดหน้าต่างทองของเฟด ฝรั่งเศสเอาดอลล่าร์มาแลกทองกับสหรัฐฯต้องหน้าแหก เมื่อเจอคำพูดว่าเสียใจแลกคืนไม่ได้ ให้ถือดอลล่าร์ไปอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่อยากจะถือดอลล่าร์ ก็ใช้มันออกไป

ผลก็คือสหรัฐฯยกเลิกระบบการเงินโลกแบบอัตราคงที่ และเบี้ยวพันธคำมั่นว่าดอลล่าร์สามารถแลกทองคืนได้

การเบี้ยวมาตรฐานทองคำของสหรัฐฯกลายเป็นว่าระบบการเงินระหว่างประเทศล่มสลายเป็นครั้งที่3ในศตวรรษที่20 ครั้งแรกคือเมื่อสงครามโลกเกิดขึ้นในปี1914 และครั้งที่สองคือเมื่อสงครามโลกครั้งที่2เกิดในปี1939

จะเห็นได้ว่าระบบการเงินโลกอายุสั้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเริ่มของBretton Woodsในปี1944-1945ถึง1971 มีอายุแค่26ปี

เมื่อดอลล่าร์ไม่ผูกกับทองคำ ดอลล่าร์ก็กลายเป็นเงินกระดาษล้วนๆ หรือแบงค์กงเต๊ก อัตราแลกเปลี่ยนของดอลล่าร์จึงลอยตัว แกว่งไปมาไม่มีเหมือนเรือที่ไม่มีสมอ ค่าเงินประเทศอื่นๆที่ผูกกับดอลล่าร์จึงแกว่งไปด้วย แล้วประเทศต่างๆจะยังคงอยากจะถือดอลล่าร์อีกต่อไปทำไม ในเมื่อดอลล่าร์ไม่ได้มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง Uncle Samพิมพ์เงินออกมาดื้อๆกลางอากาศให้ทั่วโลกใช้

ความต้องการในการถือดอลล่าร์ต้องลดลงไปโดยปริยายเพราะความเชื่อมั่นไม่มี แลกเป็นทองก็ไม่ได้ สหรัฐฯจึงต้องหาทางออกด้วยการสร้างระบบการเงินใหม่ เพื่อรื้อฟื้นความเชื่อมั่น หรือเพื่อรักษาความเป็นเงินสกุลหลักของโลกของดอลล่าร์

แล้วอะไรจะดีไปกว่าเอาน้ำมันของตะวันออกกลางมาหนุนดอลล่าร์?

หลังจากการล่มสลายของระบบBretton Woods กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรู้สึกไม่สบายใจมากที่ดอลล่าร์ลอยตัวกลางอากาศไม่มีหลักทรัพย์อะไรหนุนหลัง ทำให้มีการรวมตัวเพื่อกำหนดราคาน้ำมันให้สูงขึ้นในรูปดอลล่าร์ สหรัฐฯต้องบริโภคน้ำมันในราคาที่แพงขึ้น และถ้าดอลล่าร์จะยังคงรักษาความเป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไป จะต้องมีการสร้างระบบการเงินโลกใหม่ขึ้นมาแทน และต้องโน้มน้าวให้ประเทศต่างๆหันกลับมาถือดอลล่าร์เหมือนเดิม

ประธานาธิบดีนิกสัน และHenry Kissinger เลขาธิการความมั่นคงของสหรัฐฯจึงดำเนินการที่จะเอาน้ำมันสำรองทั้งหมดในตะวันออกกลางมาหนุนดอลล่าร์ ระบบการเงินใหม่ต้องสร้างขึ้นมาโดยเร็วเพื่ออุดช่องว่างที่เกิดขึ้นจากการล่มสลายของระบบBretton Woods

ในปี1972 Kissingerบินไปซาอุดิ อาราเบีย ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของโลกในขณะนั้นเพื่อเจรจาให้ราชวงศ์ซาอุตกลงขายน้ำมันเป็นดอลล่าร์ต่อไป โดยมีข้อแม้ว่าสหรัฐฯจะให้ความช่วยเหลือทางการเมือง ทางทหารและความมั่นคงให้กับราชวงศ์ซาอุฯและให้ซาอุดิฯช่วยใช้อิทธิพลกวาดต้อนกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันอื่นๆให้เข้าคอกด้วยคือต้องขายน้ำมันเป็นดอลล่าร์อย่างเดียว โดยที่มี แสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐฯทอดเงาทมึนครอบกะลาหัวอยู่

และเพื่อให้ระบบการเงินและระบบแบงค์โลกเดินหน้าต่อไปได้ หลังจากที่ซาอุดิฯและประเทศผู้ผลิตน้ำมันขายน้ำมันได้ดอลล่าร์มาแล้ว ให้เอาดอลล่าร์นั้นกลับไปซื้อพันธบัตรสหรัฐฯมาถือและได้ดอกเบี้ยด้วย โดยที่พันธบัตรสหรัฐฯสามารถเอาไปขายหรือตึ้งต่อเพื่อแลกเงินสดกลับคืนมาได้ทุกเมื่อ

ระบบเปโตรดอลล่าร์จึงถือกำเนิดขึ้นมาแทนระบบBretton Woods ด้วยนโยบายที่แยบยลทางทหารของสหรัฐฯ ทุกประเทศมีความต้องการใช้น้ำมัน จึงสำเป็นต้องสำรองดอลล่าร์ในการซื้อน้ำมัน ทำให้มีความต้องการถือ หรือเพิ่มการถือดอลล่าร์ต่อไป

ตกลงสหรัฐฯเล่นกลแหกตาชาวโลกได้สำเร็จ 3เด้ง

เด้งที่1 สหรัฐฯพิมพ์เงินออกมาเปล่าๆได้ โดยที่ไม่ต้องมีหลักทรัพย์อะไรหนุน

เด้งที่ 2 สหรัฐฯสามารถเอาบ่อน้ำมันทั้งตะวันออกกลางที่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของมาหนุนดอลล่าร์ได้

เด้งที่3 สหรัฐฯสามารถก่อหนี้ผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาลไปได้เรื่อยๆ เพราะประเทศต่างๆจำต้องสำรองดอลล่าร์เพื่อซื้อน้ำมัน เวลามีดอลล่าร์เหลือก็เอาไปซื้อพันธบัตรสหรัฐฯมาเก็บเพราะว่าได้ดอกเบี้ย ดีกว่าเก็บเป็นดอลล่าร์ในรูปเงินสด

ในที่สุดระบบการเงินโลกเดินหน้าต่อไปได้ภายใต้กลไกที่พิลึกพิลั่น โดยที่สหรัฐฯสามารถทำเงินดอลล่าร์กงเต็กให้แลกกลับไปเป็นน้ำมันของคนอื่นได้ และสหรัฐฯสามารถก่อหนี้ผ่านพันธบัตรรัฐบาลได้ไม่มีที่สิ้นสุด พันธบัตรสหรัฐฯคือหนี้ที่ตั้งอยู่บนเงินดอลล่าร์กงเต็ก แต่เวลารัฐบาล ระบบแบงค์ สถาบันการเงินต่างๆถือดอลล่าร์กงเต็กและหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ กลายเป็นถือทรัพย์สินที่มีความมั่นคงมีเร็ทติ้งระดับ AAA

นับว่าเป็นการเล่นกลวิทยายุทธการเงินที่ล้ำเลิศที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินโลก

ช่วงที่สหรัฐฯเอาดอลล่าร์ออกจากมาตรฐานทองคำภายใต้ระบบBretton Woods เศรษฐกิจสหรัฐฯมีปัญหาหนัก ค่าเงินดอลล่าร์ป่วนมากระหว่าง1971และ 1973 เพราะว่าเงินเฟ้อพุ่งจากการใช้จ่ายที่เกินตัวและภาระสงครามเวียดนาม

Jim Rickards ผู้แต่งThe Death of Money เขียนในบทนำของหสังสือเล่มล่าสุดของเขาว่า สหรัฐฯเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดในปี1978เมื่อเงินดอลล่าร์เกือบจะหมดสภาพ ในปีนั้นความมั่นใจในดอลล่าร์แทบจะไม่เหลือ รัฐบาลสหรัฐฯไม่สามารถกู้เงินเป็นดอลล่าร์ ต้องออกพันธบัตรรัฐบาลในรูปเงินสกุลสวิสฟรังค์ เพราะว่าถ้าออกเป็นสกุลดอลล่าร์จะไม่มีคนซื้อ

ระหว่างปี1977 ถึง1981 ค่าเงินดอลล่าร์ตกไปมากกว่า50% ในปี1979 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟต้องเข้ามากอบกู้สถานการณ์ด้วยการปั๊มป์เงินspecial drawing rights (SDR) ซึ่งเป็นเงินในรูปบัญชีที่อิงเงินสกุลหลักๆของโลกที่เอามารวมในตระกร้าเงิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของระบบการเงินโลก ปรากฎว่าไอเอ็มเอฟต้องอัดสภาพคล่องการเงินเข้าไปถึง12,100 ล้านSDRs เพื่อให้ระบบการเงินโลกมีสภาพคล่อง ในขณะที่ความเชื่อมั่นในดอลล่าร์ลดลง ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก และเป็นเสาหลักของระบบการเงินโลก เมื่อความมั่นใจในดอลล่าร์หายไป สภาพคล่องดอลล่าร์ก็หายไปด้วย

ราคาทองเพิ่ม500%ระหว่างปี1977ถึง 1980 หรือระหว่างที่ดอลล่าร์มีวิกฤติ หลังจากที่นิกสันยกเลิกการผูกดอลล่าร์กับมาตรฐานทองคำในปี1971และได้สร้างเปโตรดอลล่าร์ 1972มาแทนระบบBretton Woods เงินดอลล่าร์ประสบวิกฤติช่วงตอนปลายทศวรรษนั้น

อัศวินม้าขาวของสหรัฐฯในช่วงนั้นคือ Paul Volcker ประธานUS Federal Reserve เขาขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปถึง19%ในปี 1981เพื่อที่จะรบกับเงินเฟ้อ และเพื่อที่จะฟื้นความมั่นใจในค่าเงินดอลล่าร์ ประธานาธิบดีRonald Reaganเข้ามาเป็นผู้นำต่อจากJimmy Carter และเขาไม่รีรอที่จะลดภาษีแลกขจัดกฎระเบียบต่างๆที่เป็นอุปสรรคของการลงทุน หรือการขยายตัวของธุรกิจ ปรากฎว่าความเชื่อมั่นเริ่มกลับคืนมาในเศรษฐกิจสหรัฐฯและค่าเงินดอลล่าร์

ในปี 1985ค่าเงินดอลล่าร์เริ่มตีกลับด้วยการแข็งค่าขึ้น50%จากความตกต่ำสุดใน ปี1978 ราคาทองตก60%จากระดับสูงสุดในปี 1980 และเงินเฟ้อลดจาก13.5%ในปี 1980เป็น 1.9% ในปี1986 ถือกันว่าPaul Volcker เป็นอัศวินขี่ม้าขาวใช้ดาบฆ่ามังกรยักษ์ที่พ่นไฟเป็นเงินเฟ้อได้

ในปี1991 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมWorld Bank/IMF ผมมีโอกาสนั่งกินข้าวกับMichel Camdessus กรรมการผู้จัดการของไอเอ็มเอฟ ผมได้เขียนสรุปเกี่ยวกับประวัติและบทบาทของCamdessusลงหนังสือพิมพ์ The Nationในช่วงการประชุมที่ศูนย์สิริกิต ซึ่งกินเวลาหลายวัน

ก่อนเทียงวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังนั่งเขียนข่าวในห้องนักข่าว ปรากฎว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของไอเอ็มเอฟมาตามหาคนผม บอกว่าใช่ผมเป็นคนที่เขียนprofileของCamdessus หรือไม่พร้อมชูบทความผมในThe Nation ผมตอบว่า "Yes, it's me." ในใจคิดว่า จะมาว่าอะไรเรา เขียนอะไรไม่ถูกใจหรือเปล่า

ปรากฎว่าเขาบอกว่าบทความผมดีมากและCamdessusต้องการเลี้ยงข้าวเที่ยงผมพร้อมกับนักข่าวที่คัดเลือกแล้วจากประเทศต่างๆ 5-6 คน ผมได้ได้มีโอกาสกินข้าวร่วมโต๊ะกับCamdessus คุยกันหลายเรื่องจำไม่ได้แล้ว แต่มีตอนหนึ่งเขาแสดงความเป็นห่วงถึงเรื่องเงินเฟ้อ แนะให้สหรัฐฯ (หรืออาจจะเป็นประเทศอื่นไม่แน่ใจ)ขึ้นดอกเบี้ย2% เพราะว่าเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ธนาคารกลางหรือนักเศรษฐศาสตร์ต้องระวังที่สุด เพราะเขาบอกว่า

"Inflation is like a seven-headed dragon. Even if you kill one, you're not doing anything." แปลว่า "เงินเฟ้อเหมือนมังกร7หัว แม้ว่าจะฆ่ามันตายไปแล้วหัวหนึ่ง แต่เราก็ยังไม่ได้ทำอะไรมันมาก"

เดี๋ยวเราจะได้เห็นสหรัฐฯสร้างมังกร100หัวอย่างจงใจ และไม่คิดที่จะฆ่ามันเลย นโยบายการเงินสร้างเงินเฟ้อและฟองสบู่ จนเมื่อฟองสบู่แตกเกิดเงินฝืด ธนาคารกลางหรือเฟดกลับมาลดดอกเบี้ยเพื่ออัดฉีดเงินเพื่อสร้างเงินเฟ้อหรือฟองสบู่อีก จนทำให้ดอลล่าร์กำลังจะเจอวิกฤติรอบใหม่ที่จะมีความรุนแรงกว่าปี1978หลายสิบ หรือเป็นร้อยเท่า

Marc Faber นักลงทุนระดับโลกบอกว่าสหรัฐฯชอบที่จะสร้างฟองสบู่การเงิน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ชอบที่จะจัดการกับปัญหา ตลาดหุ้นสหรัฐฯอยู่ในภาวะกระทิงมา5ปีแล้วหลังจากที่ลงมาสุดต่ำในเดือนมิถุนายน2009 แต่การเฟื่องฟูมาให...ม่ไม่ได้ทำให้ครัวเรือนหรือเศรษฐกิจของสหรัฐฯดีขึ้น แต่ทำให้พวกที่รวยอยู่แล้ว ยิ่งจะรวยล้นฟ้าขึ้นไปอีก เพราะราคาทรัพย์สินที่ถืออยู่สูงขึ้น ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรวย คนจนมากขึ้น


Marc Faberบอกว่า พวกนายธนาคารกลางมีการพิมพ์เงินมากเกินไป และยิ่งจะเพิ่มการพิมพ์เงินก็ยิ่งจะสร้างปัญหามากมายตามมา เพราะฉะนั้นระยะเวลาที่ฟองสบู่ตลาดที่จะแตกคือภายใน3ปี เมื่อตลาดพัง อำนาจของพวกนายธนาคารกลางจะถูกริดรอนมากขึ้น เพราะว่าคนจะเริ่มตระหนักว่าใครเป็นคนสร้างฟองสบู่ตลาดNASDAQ ในปี1999? คำตอบคือFederal Reserve

ใครเป็นคนสร้างฟองสบู่อสังหาฯระหว่างปี2001-2007? คำตอบคือFederal Reserve
และใครเป็นคนสร้างฟองสบู่การเงินที่ใหญ่โตมโหฬารในสตอนนี้? คำตอบคือFederal Reserve
จะเห็นได้ว่าตัวร้ายที่สร้างฟองสบู่ไม่การเงินสหรัฐฯคือAlan Greenspan ประธานเฟดที่สร้างฟองสบู่ดอตคอมผ่านนโยขายดอกเบี้ย และฟองสบู่อสังหาฯในปี2001-2007ด้วยการกดดอกเบี้ยตำเพิ่มสภาพคล่องการเงิน

Ben Bernankeเข้ามารับช่วงเป็นประธานเฟดช่วงวิกฤติ2008 ก็อัดสภาพคล่อง ทำQEเพื่อสร้างฟองสบู่รอบใหม่ แต่ละรอบของฟองสบู่ที่แตกไม่ปรากฎว่าสหรัฐฯมีการปรับโครงสร้างอะไรอย่างจริงๆจังๆ มีแต่การเพิ่มปริมาณเงิน เพื่อกลบปัญหา ตอนนี้Janet Yellen ประธานเฟดหญิงขึ้นขี่หลังเสือ แต่ต้องการลงหลังเสือด้วยการลดฟองสบู่ หรือลดขนาดQE แต่ไม่คิดว่าจะทำได้เพราะหนี้สหรัฐฯสูงเกินไป ถ้าดอกเบี้ยขึ้นหรือกลับไปสูสภาพปกติ ตลาดจะพัง หนี้และตลาดบอนด์จะระเบิดออกมา
ทำให้เปโตรดอลล่าร์มีความเสี่ยงว่าจะยืนอยู่

แล้วดอลล่าร์ หรือเปโตรดอลล่าร์จะพังเมื่อใด?


 

ทั้งJim Rickards และ Marc Faber บอกว่าดอลล่าร์จะพังภายใน3ปี หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ไม่มีใครบอกเวลาที่แน่นอนได้

Jim Rickardsบอกว่ามันเหมือนการก่อตัวของภูเขาน้ำแข็ง ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นมา จับตัวแข็งบนภูเขาอย่างช้าๆ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะกลิ้งลงมาเมื่อใด จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง แค่ละอองหิมะมาแตะภูเขาน้ำแข็งลูกนี้เท่านั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้มันกลิ้งลงมาจากที่สูงแล้วทำลายบ้านเรือน ฆ่าคนที่อยู่ข้างล่างตายได้

Jim Rickards บอกว่าประเด็นคือเวลาที่ภูเขาน้ำแข็งมันกลิ้งลงมาทำลายผู้คนและบ้านเรือนจะไม่มีใครตั้งหลักทัน เพราะฉะนั้นในเรื่องระบบการเงิน หรือวิกฤติดอลล่าร์เหมือนกัน เวลามันพังจะไม่มีใครตั้งตัวทัน เพราะไม่มีการเตรียมพร้อมกัน
เฟดทำทุกอย่างแล้วเพื่อเซฟระบบ ไม่ว่าจะเป็น QE1, QE2, QE3, Operation Twist (ขายบอนด์สั้นซื้อบอนด์ยาว), forward guidance (ให้สัญญานกับตลาดว่าเฟดจะทำอะไรข้างหน้า), สงครามการเงิน, ตั้งเป้าการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ไม่สามารถจะทำให้สภาวะเงินฝืด หรือราคาทรัพย์สินที่ตกฟื้นขึ้นมาได้ เหมือนกับที่ญี่ปุ่นเผชิญอยู่

Marc Faberบอกว่าเฟดสร้างฟองสบู่การเงินดอตคอม1991 ฟองสบู่อสังหาฯ2007 และตอนนี้สร้างฟองสบู่ที่ใหญ่กว่าเดิม (2009-ปัจจุบัน) มีแต่จะต้องแตกภายใน3ปีอย่างช้า Jim Rickards ยกอีกตัวอย่างหนึ่งให้เห็นภาพคือ เวลาวิกฤติเกิดขึ้นตอนแรกเราจะไม่ค่อยรู้ตัว เหมือนกับเวลาเรานั่งอยู่ในโรงหนัง แล้วมีคน2-3คนลุกออกไปที่ประตูทางออก เราก็นั่งดูหนังต่อไม่สนใจ พอคนเริ่มลุกออกมากเพิ่มอีก5-6คนเราเริ่มจะเอะใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอคน20-30คนหนีไปที่ประตูทางออก เราจะลุกจากเก้าอี้ทันที หนีออกจากโรงหนังตามโดยไม่ต้องถามอะไรแล้ว นี้คืออาการpanic ที่จะเกิดขึ้นกับวิกฤติดอลล่าร์

ถ้าดอลล่าร์จะวิกฤติภายใน3ปีหรือน้อยกว่า มันจะเป็นช่วงสมัยที่เหลือของประธานาธิบดีโอบามาพอดี แล้วโอบามาจะแก้เกมอย่างไร เพราะว่าดอลล่าร์กับลังจะพังคามือ เราจะได้เห็นสงครามหรือไม่?

ใครก็ตามที่บังอาจท้าทายเปโตรดอลล่าร์ จะโดนสหรัฐฯส่งทหารเข้าไปจัดการกวาดล้าง ไม่ว่าจะเป็นซัดดามของอิรัค หรือกัดดาฟี่ของลิเบียโดนล้มจนประเทศพังยับเยินเวลานี้ เสร็จแล้วก็ปล้นบ่อน้ำมันต่อ แต่ทั้งรัสเซียและจีนกำลั...งท้าทายเปโตรดอลล่าร์ คือต้องการทำการค้าขายน้ำมัน หรือสินค้าและบริการอื่นๆโดยไม่ต้องผ่านเงินดอลล่าร์ ปัญหาคือสหรัฐฯไม่สามารถจะส่งทหารเข้าไปแทรกแซง2ประเทศนี้ได้ เพราะว่าเป็นมหาอำนาจเหมือนกัน มีระเบิดนิวเคลียร์พอๆกัน

Stephen Leeb นักบริหารเงินที่มีชื่อบอกว่า ถึงเวลานี้ซาอุดิ อาราเบียน่าจะเห็นภาพชัดแล้วว่าซากศพที่กองทับกันอยู่ในอิรัคและลิเบียไม่น่าจะบ่งบอกถึงอนาคตที่ดีสำหรับประเทศใดที่จะผูกตัวเองกับเปโตรดอลล่าร์ได้ยาวนานอีกต่อไป เขาบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่ซาอุดิฯจะขายน้ำมันตามราคาของตระกร้าเงินที่ประกอบด้วยประเทศที่มีความมั่นคงกว่าตอ่ไปคือจีน รัสเซีย หรือเยอรมัน และทองคำ เพราะฉะนั้นทองจะเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดราคาน้ำมันในอนาคต

Stephen Leeb บอกว่าการล่มสลายของประเทศที่พึ่งพาเปโตรดอลล่าร์ น่าจำทำให้ซาอุดิฯฉุกคิดได้ว่าต้องเตรียมพร้อมอย่างไร สำหรับระบบใหม่ที่ต้องสร้างขึ้นมารองรับ และเขาเชื่อว่าซาอุดิฯน่าจะมีการพูดคุยกับรัสเซียและจีนว่าจะสร้างระบบค้าน้ำมันออกจากเปโตรดอลล่าร์อย่างไรให้กระทบกระเทือนน้อยที่สุด เพราะว่าซาอุดิฯไม่ต้องการมีชะตากรรมที่ลงเอยเหมือนอย่างอิรัค และลิเบีย นี้เป็นช่วงที่ล่อแหลมมาก

ในเมื่อซาอุดิฯ ซึ่งเป็นเสาหลักของเปโตรดอลล่าร์ตั้งแต่ต้น กำลังคิดตีจากเปโตรดอลล่าร์ แล้วอนาคตของดอลล่าร์จะเป็นอย่างไร ในเมื่อหลายๆประเทศเริ่มคิดมาตราการล้มดอลล่าร์และลดอำนาจสหรัฐฯในเวทีโลก ด้วยการสร้างระบบการเงินการค้าใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาดอลล่าร์กระดาษอีก

Paul Craig Robertsสรุปชัดเจนในบทความล่าสุดว่า "ไม่ว่าสหรัฐฯหรือโลกจะต้องถึงจุดจบกันอย่างใดอย่างหนึ่ง" หมายความว่าเงินดอลล่าร์จะต้องโดนทิ้ง หรือมีค่าพังทะลายลงมา เพราะว่าเศรษฐกิจที่พังลงของสหรัฐฯตั้งแต่ปี2008...ไม่ได้ฟื้นจริงๆเลยตามที่John Williamsได้สรุปเอาไว้ในรายงานเดือนเมษายนที่ผ่านมา ถ้าเป็นเช่นนั้นอำนาจของวอชิงตันในการสร้างภัยให้กับชาวโลกจะสิ้นสุดลง

หรือไม่ก็สหรัฐฯจะยุให้ตัวแทนออกหน้ารบกับรัสเซียและจีนแทน ถ้าเป็นเช่นนั้นผลจากความเสียหายของสงครามโลกจะรุนแรงมากกว่าการพังทะลายของดอลล่าร์มากนัก เหตุการณ์หรือการสร้างสถานการณ์911เป็นข้ออ้างสำหรับสหรัฐฯที่จะบุกถล่มIraq, Afghanistan, Libya, Somalia, Syria, Iran, และ Hezbollah และเพื่อที่จะทำความฝันของพวกนีโอคอน (neo-conservatives ) ในการครองโลกให้เป็นจริง

Paul Craig Roberts บอกว่านาโต้อาจจะแตกภายในปีนี้ หรือแม้แต่สหภาพยุโรปก็ตาม การเข้าไปก่อการรัฐประหารในยูเครนของสหรัฐฯ และการแซงชั่นรัสเซียทำให้ประเทศบริวารในนาโต้มีความเสี่ยงของสงคราม วอชิงตันอ่านเกมผิดในการเข้าไปยุ่งในยูเครน เพราะว่าไครเมียรีบออกไปผนวกเข้าไปดินแดนเดียวกับรัสเซีย ประเทศที่เคยอยู่ใต้รัสเซียมาก่อนจะทะยอยกลับเข้าสู่อ้อมกอดของรัสเซีย

เริ่มมีการประท้วงในทางตะวันออกของยูเครนเพื่อที่จะให้ยูเครนกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย รัฐบาลกลางที่Kiev ซึ่งเป็นหุ่นเชิดของสหรัฐฯอาจจะต้องใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วง พวกสมาชิกนีโอนาซีของ Fatherland Partyต้องการยิงผู้ประท้วงที่ฝักใฝ่ในรัสเซีย ถ้าเกิดเหตุรุนแรงในยูเครน กองทหารของรัสเซียจะเข้าไปช่วยผู้ประท้วง และจะทำให้ดินแดนในทางตะวันออกของยูเครกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอีกครั้ง

แล้วสหรัฐฯจะทำอะไรได้ ยกเว้นการผลักดันให้ยุโรปเข้าไปเผชิญหน้ากับรัสเซีย2ด้านคือ ประการแรกการเผชิญหน้าทางสงคราม ซึ่งยุโรปไม่ต้องการที่จะสู้รบกับรัสเซีย อันเกิดจากการที่วอชิงตันทำรัฐประหารในKiev และอีกประการหนึ่งยุโรปเข้าใจดีว่าการแซงชั่นรัสเซีย จะมีผลเสียกับยุโรปมากกว่า ในยุโรปเองมีปัญหาเศรษฐกิจที่หนักมาก มีความเหลื่อมล้ำ การว่างงาน และมาตรการคุมเข้มทางการเงิน ทำให้เกิดความขุ่นเคืองไม่พอใจระหว่างประเทศที่จนและประเทศที่รวยในสหภาพยุโรป

ยุโรปไม่ต้องการทำสงครามกับรัสเซีย ในขณะที่วอชิงตันต้องการผลักดันยุโรปให้ทำสงครามและเสียสละแทนตัวเอง ในขณะที่สหรัฐฯหยิบยื่นสงครามและการเสียสละให้ยุโรป รัสเซียและจีนมอบการค้าและความเป็นมิตรให้ยุโรป
วอชิงตันจำต้องซื้อนักการเมืองยุโรปให้อยู่ในแถวทำตามนโยบายสหรัฐฯ แต่ความเสี่ยงของยุโรปที่จะเดินตามก้นสหรัฐฯจะมีมากขึ้น อันนำไปสู่บทสรุปได้ว่า ไม่ว่าสหรัฐฯหรือโลกจะต้องถึงจุดจบกันอย่างใดอย่างหนึ่ง

7/2/57

On 23:45 by Moneytips in    No comments

ปลุกฝันกับคุณยายอยากกระโดดร่ม

คุณมีความฝันหรือไม่คะ?

แล้วคุณได้เริ่มทำตามความฝันนั้นแล้วหรือยัง?
ถ้ายังไม่ได้ทำ แล้วคิดว่าจะทำมันให้เป็นจริงเมื่อใด?


คำถามเหล่านี้ คุณจะได้กลับมาคิด เมื่อได้ดูรายการปลุกฝันSeason2 ที่ออกอากาศทางช่อง5
โดยตอนแรก เสนอตอน สุดขีดชีวิตฝัน เป็นเรื่องจริงของคุณยายคนหนึ่งที่ฝันตั้งแต่อายุ 17ปี ว่าอยากกระโดดร่มสักครั้งในชีวิต แต่ด้วยภาระที่ต้องดูแลน้องๆถึง 4 คน และครอบครัว ทำให้ไม่ได้ทำตามความฝันนั้นเสียที จนอายุล่วงเลยมาถึงอายุ 61 ปี คุณยายก็ยังไม่ละทิ้งความฝันนี้ และตั้งใจว่าจะทำให้ได้ แต่ด้วยสภาวะร่างกายที่ไม่เหมาะสมกับการกระโดดร่ม ร่วมทั้งความไม่เห็นด้วยของลูกสาวกับการตัดสินใจที่จะกระโดดร่มของแม่ ก็สร้างความกังวลกับคุณยายไม่น้อย

คุณยายได้ตัดสินใจเข้าไปปรึกษากับพนักงาน K-Expert ในการแนะนำให้คุณยายถึงความฝันนั้น ทั้งเรื่องการหาข้อมูลการกระโดดร่ม ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ พร้อมทั้งวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายหลังจากทำตามความฝัน ที่ควรเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณอีกด้วย

เรื่องไม่ได้จบเพียงการแนะนำทางการเงินและการช่วยเหลือให้คุณยายได้ทำตามฝันเท่านั้น แต่รายการนี้พยายามสอดแทรกความเป็นจริงที่อาจจะทำให้เราไม่ได้ทำตามความฝันนั้น ไม่ว่าจะเป็นความฝันที่หลายคนคิดว่ายากที่จะทำได้ ข้อจำกัดด้านอายุ ความกังวลของคนรอบข้าง ซึ่งถ้าเราตั้งใจและพยายามเตรียมความพร้อมที่จะทำตามความฝันนั้นให้ได้ ข้อจำกัดต่างๆก็ไม่สามารถหยุดเราได้


Dream as if you'll live forever. 
Live as if you'll die today.


James Dean




15/1/57

On 17:00 by Moneytips in    No comments


4 + 4 กลเม็ดพิชิตหนี้บัตรเครดิตสำหรับสาวนักช้อป

การทำบัตรเครดิต เป็นวิธีที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการจับจ่ายให้กับสาวๆได้มาก ทำให้ไม่ต้องพกเงินสดไว้ที่ติดตัวเยอะๆ สามารถรูดปื้ดๆได้ทันทีที่ต้องการ อีกอย่างธนาคารต่างๆ มักจะมีโปรโมชั่นเปิดบัตรเครดิตพร้อมรูดซื้อสินค้าก็จะได้ของสัมนาคุณน่ารักๆ อย่างนี้ถูกใจสาวๆนักช้อปยิ่งนัก และเชื่อได้ว่าสาวๆเกือบทุกคนต้องมีบัตรเครดิตติดกระเป๋ากันมากกว่า 1 ใบแน่นอนค่ะว่าการใช้บัตรเครดิตมีข้อดี แต่ถ้าเราใช้บัตรไม่ถูกวิธี ก็อาจจะข้อเสียเกิดขึ้นด้วย เพราะเราใช้บัตรอย่างเพลิดเพลิน อาจจะเป็นหนี้ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นวันนี้จึงขอนำเสนอเทคนิคการใช้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธี และวิธีจัดการหนี้ที่เกิดจากบัตรเครดิตให้ทราบกันค่ะ


 4 เทคนิคการใช้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธี ดังนี้

 

1. อย่ามองข้ามเงื่อนไขการใช้บัตร

เพราะการใช้บัตรเครดิต แฝงไปด้วยค่าธรรมเนียมที่ธนาคารจะเรียกเก็บ ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมรายปี , ค่าธรรมเนียมการจ่ายชำระตามช่องทางต่างๆ ดังนั้นเราจึงควรใช้บัตรที่สะดวกชำระในช่องทางที่ไม่เสียค่าธรรมเนียม, เลือกช่องทางรับใบ Statement ไม่ว่าจะทางไปรษณีย์หรือทางE-Mail เพื่อไม่ให้ลืมชำระ ซึ่งจะส่งผลถึงดอกเบี้ยเงินที่ไม่ชำระ รวมทั้งการใช้จ่ายผ่านบัตรให้ตรงกับเงื่อนไข เพื่อลดรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บริการได้มากยิ่งขึ้น

 

2. เลือกใช้บัตรเครดิตที่ให้รับสิทธิพิเศษตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

ธนาคารมักจะออกบัตรเครดิตมีลักษณะสิทธิพิเศษที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า ดังนั้นเราจึงควรเลือกใช้บัตรที่ให้สิทธิพิเศษที่ตรงกับความต้องการและสามารถรับประโยชน์จากบัตรเครดิตให้ได้มากที่สุด

 

3.  มีสติทุกครั้งที่ชำระผ่านบัตร

เพราะเมื่อสาวเห็นคำว่า “Sale” อาจทำให้สติในการวิเคราะห์เงินในกระเป๋าจะลดลง ดังนั้นเราต้องตั้งสติให้ดี และต้องมั่นใจว่ามีการสำรองเงินสดรอชำระบิลเมื่อถึงรอบชำระนั้นๆแน่นอนก่อนรูดบัตรซื้อของ

 

4. ชำระยอดบิลแบบเต็มจำนวนทุกครั้ง

การชำระบิลขั้นต่ำ 10 % ของยอดชำระ ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยทันที ดังนั้นจึงควรชำระเต็มจำนวนทุกครั้ง


สำหรับสาวๆที่ได้เผลอใช้บัตรอย่าง Non Stop ช้อปปิ้งจนติดเป็นนิสัย จนเป็นผลทำให้มีหนี้บัตรเครดิตหลายใบ กลุ้มใจนอนไม่หลับกับยอดหนี้ที่ชำระไม่หมด จ่ายได้เพียงยอดชำระขั้นต่ำพร้อมดอกเบี้ย 28% ต่อปีทุกรอบบิล ใครกำลังประสบปัญหาเช่นนี้ไม่ต้องทุกข์ใจไปค่ะ มาดูเทคนิคดีๆกัน


4 การบริหารหนี้บัตรเครดิต ให้เสียดอกเบี้ยน้อยลง


1. ยุบยอดหนี้

โดยการขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นหรือไม่ได้ใช้ พร้อมค่ารายได้เพิ่ม เพื่อให้มีเงินสดมาชำระหนี้ให้ได้เร็วที่สุด

 

2. ลดการใช้บัตรเครดิต

โดยการทยอยยกเลิกบัตรเครดิต โดยเรียงลำดับจากใบที่เก็บดอกเบี้ยสูงๆก่อน ให้เหลือบัตรไว้ใช้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น

 

3. ลดความต้องการซื้อลง

 

4. รวบยอดหนี้ ลดดอกเบี้ย

      สำหรับผู้ที่มีหนี้บัตรเครดิตหลายๆที่ เกิดความลำบากในการชำระและยากต่อการจัดการ อาจใช้วิธีขอสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อมาชำระหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด และชำระสินเชื่อเพียงที่เดียว รวมทั้งดอกเบี้ยที่ต้องเสียลดลงจากดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 28%ต่อปี จะเหลือเพียง 26-19% ต่อปีตามยอดเงินกู้ ก็เป็นอีกวิธีที่น่าสนใจ จึงขอยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลนี้ให้ทราบดังนี้ค่ะ

ผลิตภัณฑ์ K-Personal Loan (สินเชื่อบุคคลกสิกรไทย) ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องใช้หลักประกัน เหมาะกับผู้ที่ต้องการนำเงินไปใช้จ่ายตามความต้องการส่วนบุคคล เมื่อธนาคารอนุมัติวงเงินกู้แล้วจะโอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์กสิกรไทยตามที่ได้แจ้งไว้ โดยสินเชื่อขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 10,000 บาท และสูงสุดไม่เกิน 5 เท่าของรายได้ และไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ทั้งนี้ สามารถผ่อนได้นานสูงสุด 5 ปีค่ะ
สำหรับวงเงินอนุมัติ อัตราดอกเบี้ย และระยะเวลาการผ่อนมีดังนี้

วงเงินอนุมัติ                       อัตราดอกเบี้ย/ต่อปี                   งวด/ต่อเดือน

10,000 - 80,000 บาท             26%                            12,18,24,6,48,60

80,001 - 240,000 บาท           22%                            12,18,24,6,48,60

240,001 บาทขึ้นไป                   19%                            12,18,24,6,48,60

** ในกรณีวงเงินน้อยกว่า 20,000 บาท สามารถเลือกผ่อนได้ 12,18,24 เดือนเท่านั้น

คุณสมบัติของผู้สมัคร

1. สัญชาติไทย

2. อายุผู้สมัคร ในกรณีมีรายได้ประจำ ตั้งแต่ 22 - 60 ปี (รวมระยะเวลาการผ่อนชำระ)

3. รายได้ของผู้กู้ในกรณีมีรายได้ประจำ จะต้องมีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป

4. อายุงานของผู้มีรายได้ระจำต้องไม่น้อยกว่า 6 เดือน

เอกสารประกอบการสมัคร

1. ใบสมัคร รวมถึงหนังสือให้ความยินยอมตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร

2. สำเนาบัตรประชาชน หรือสำเนาบัตรข้าราชการ พร้อมแนบสำเนาทะเบียนบ้านผู้สมัคร (รับรองสำเนาถูกต้อง)

3. สำเนาหน้าบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารกสิกรไทยที่ระบุชื่อผู้สมัครที่จะให้ธนาคารโอนเงินเข้า (รับรองสำเนาถูกต้อง)

4. เอกสารแสดงรายได้ ดังต่อไปนี้
- สลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือนย้อนหลังไม่น้อยกว่า 3 เดือน
- สำเนาการเดินบัญชีที่เงินเดือนเข้าย้อนหลัง 3 เดือน กรณีที่ใช้หนังสือรับรองเงินเดือน
- กรณีทำงานที่ปัจจุบันน้อยกว่า 6 เดือน แต่ผ่านการทดลองงานแล้ว ให้แนบหนังสือรับรองการทำงานจากที่เดิม
 

เพียงแค่เรารู้วิธีการใข้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธี และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด การเป็นหนี้บัตรเครดิตก็เป็นเรื่องที่ไกลตัวแล้วค่ะ แต่อย่าลืมนะคะว่านอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมีภัยอย่างอื่นที่อาจเกิดขึ้นกับบัตรเครดิตของเรา ได้แก่ การถูกขโมยบัตรเครดิต การทำบัตรหาย หรืออาจมีผู้อื่นรู้รหัสหรือข้อมูลบัตร ทำให้มีผู้ไม่ประสงค์ดีแอบใช้วงเงินในบัตรได้ ดังนั้น การสมัครบริการ SMS Alert เพื่อให้เราสามารถทราบทุกยอดการใช้บัตร ก็ทำให้เราสามารถตรวจสอบและปิดบัตรได้ทันการณ์ ก็เป็นอีกวิธีง่ายๆที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก K-Expert ธนาคารกสิกรไทย

23/12/56

On 23:45 by Moneytips in    No comments

เรื่องควรรู้...ลดรายจ่ายการใช้เครื่องสำอาง




เพราะสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้หญิง คือเครื่องสำอาง ซึ่งนอกจากจะช่วยให้คุณผู้หญิงสวยงาม มั่นใจมากขึ้นแล้ว หลายท่านคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเครื่องสำอางจัดเป็นเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่เป็นอันดับต้นๆที่จะต้องเสียไปเพื่อแลกกับเครื่องสำอางชิ้นโปรดสักชิ้นมา เพราะยิ่งเป็นเครื่องสำอางที่มีแบรนด์ดัง ราคาจะยิ่งสูง หลายท่านอาจบอกว่าก็ใช้ให้นานๆจะได้คุ้ม สุดท้ายผลที่ได้คือหน้าพัง เพราะเครื่องสำอางหมดคุณภาพ ดังนั้นจึงขอนำเคล็ดลับเพื่อลดรายจ่ายเครื่องสำอางมานำเสนอ เพื่อให้ทุกท่านสามารถใช้เครื่องสำอางชิ้นโปรดให้คุ้มค่าและปลอดภัยมากที่สุดค่ะ

1 อายุเครื่องสำอาง
เพราะเครื่องสำอางมีอายุการใช้งานต่างกัน โดยเครื่องสำอางแต่ละประเภท แม้จะระบุวันหมดอายุไว้นานถึง 2 ปี แต่นั่นคืออายุของประสิทธิภาพเครื่องสำอางขณะยังไม่เปิดใช้ ซึ่งถ้าหากเปิดใช้แล้ว ก็สัมผัสกับอากาศและแบคทีเรีย จนทำให้เสื่อมประสิทธิภาพได้เร็วขึ้นและมีอายุการใช้งานน้อยลงอย่างแน่นอน ไปดูกันดีกว่าค่ะว่า เครื่องสำอางแต่ละชนิดนั้น มีอายุการใช้งานนานเท่าไหร่กันนะ  

1. มาสคารา อายไลเนอร์แบบเหลว : 3 เดือน

มาสคาราและอายไลเนอร์ เป็นเครื่องสำอางที่มีคุณสมบัติเป็นของเหลว เมื่อนำแปรงออกมาปัดขนตาแล้วก็ใส่กลับเข้าไปในขวดอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา มันจึงกลายเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียชั้นดีเลยทีเดียว
วิธีที่ช่วยยืดอายุการใช้งานได้ถึง 6 เดือน คือ หลังจากใช้มาสคาร่าแต่ละครั้ง ให้ใช้ทิชชูเช็ดครีมที่เหลือเกาะออกด้วย เพราะตอนที่คุณปัดมันจะเอาแบคทีเรียที่ขนตาติดไป เมื่อจุ่มลงไปอีก แบคทีเรียก็จะไปรวมตัวกัน จนเร่งอายุการหมดอายุเป็น 3 เดือน 

2. รองพื้น และคอนซีลเลอร์ : 6-12 เดือน

โดยปกติแล้วรองพื้นหรือคอนซีลเลอร์ จะมีสภาพเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากเปิดใช้ประมาณ 6-7 เดือน คือจะมีน้ำมันแยกออกมา หรือมีความมันมากขึ้น ซึ่งนี่จะเป็นสัญญาณเตือนให้รู้แล้วว่า มันเริ่มจะเสื่อมประสิทธิภาพเสียแล้ว ดังนั้นต้องคอยสังเกตดูให้ดี ๆ ค่ะ แต่ถึงแม้ว่าเนื้อของมันจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ก็ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 12 เดือนค่ะ

3. ลิปสติก ลิปกลอส ลิปไลเนอร์ บลัชออนแบบครีม : 6-12 เดือน

ถึงแม้ว่าเมคอัพอาร์ติสท์หลายคนจะบอกว่า ลิปสติกสามารถใช้ได้นานกว่า 2 ปีก็ตาม แต่คงไม่ดีแน่หากคุณใช้ถึงวันที่ 500 นับตั้งแต่วันเปิดใช้ ปากคุณอาจพังได้ด้วยค่ะ
วิธีที่ช่วยยืดอายุการใช้งาน ควรใช้พู่กันป้ายแล้วทา เพราะเชื้อโรคที่ปากเราจะไปสะสมที่ลิปสติก ทำให้อายุการใช้งานน้อยลง แต่ถ้ากลัวยุ่งยาก ใช้ทิชชู่ป้ายทุกครั้งก่อนทา และป้ายทุกครั้งหลังทา และข้อห้ามก็คือ ห้ามให้ผู้อื่นใช้ลิปสติกด้วย

4. อายชาโดว์ บลัชออน  บรอนเซอร์  ดินสอเขียนตา,คิ้วและแป้งพัฟ  : 12-18 เดือน

แม้จะเป็นเครื่องสำอางที่มีเนื้อแห้งละเอียด แต่การเปิดใช้บ่อยเข้าทุกวัน ก็จะทำให้อายุของมันสั้นลงเรื่อย ๆ ดังนั้น จึงไม่ควรใช้นานเกิน 18 เดือนค่ะ
วิธีที่ช่วยยืดอายุการใช้งานควรทำความสะอาดพัพพ์แต่งหน้าทุกอาทิตย์ ซักด้วยสบู่ขจัดคราบและตากให้แห้งแค่นี้ก็เรียบร้อย เพราะฟัฟฟ์ก็เป็นตัวสะสมแบคทีเรียบนหน้าเราเหมือนกัน หากไม่ทำความสะอาดก็จะมีอายุการใช้งานสั้นลง

5. คลีนเซอร์ มอยซ์เจอไรเซอร์ อายครีม ครีมกันแดด ลิปบาล์ม : 12 เดือน

6. ไพรเมอร์ สครับขัดผิว และ ครีมลดริ้วรอย : 6 - 12 เดือน

   
ควรใส่ใจ : จดวันที่เริ่มเปิดใช้งานเครื่องสำอางแต่ละชิ้น เพื่อทำให้เราใช้เครื่องสำอางอย่างปลอดภัย และควรคำนวณความคุ้มค่าของราคาเครื่องสำอางต่อชิ้น เทียบกับความบ่อยของการใช้เครื่องสำอางนั้น

ตัวอย่าง ถ้าซื้อลิปสติกแท่งละ 1,300 บาท แต่ใช้เพียงเดือนละ 5 ครั้ง พอหมดอายุยังเหลือลิปสติกครึ่งแท่งก็ต้องโยนทิ้งขยะแล้ว กลายเป็นว่าถ้าคิดเป็นค่าใช้จ่ายการใช้ต่อครั้ง จะตกครั้งละ 22 บาท เกือบทานก๋วยเตี๋ยวได้ 1 ชามเลยทีเดียว ถ้าเป็นเช่นนี้ แนะนำให้ซื้อลิปสติกแบรนด์ต่ำลงมาแทน เพื่อให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อครั้งลดลง

  2 การเก็บรักษาเครื่องสำอาง

  1. เก็บไว้บริเวณที่ไม่ถูกแสงแดดส่องถึงและมีอุณหภูมิประมาณ 25°C

 เก็บรักษาเครื่องสำอางไว้ในที่ที่มีอากาศเย็นสบายหรือเก็บที่อุณหภูมิห้อง เก็บในที่แห้ง 

  2. อ่านวิธีการเก็บรักษาที่ฉลาก 

ควรเก็บรักษาให้ได้ตามฉลากจริง ๆ ไม่เช่นนั้นเครื่องสำอางอาจเสื่อมสภาพล่วงหน้าไปก่อนวันหมดอายุไปนานเลยค่ะ

3. เปิดฝาเมื่อใช้เท่านั้น และเมื่อครีมเสร็จแล้วควรปิดฝาให้แน่น  

เพื่อไม่ให้เนื้อผลิตภัณฑ์สัมผัสกับอากาศโดยตรงด้วย นอกจากอากาศจะทำให้แห้ง ฝุ่นละออง แบคทีเรีย และเชื้อโรค ยังสามารถลงไปสัมผัสกับเครื่องสำอางได้ ซึ่งสามารถทำให้คุณสมบัติของเครื่องสำอางเปลี่ยนแปลง และอายุการใช้งานสั้นลง

4. รักษาความสะอาดของมือ ใบหน้า และอุปกรณ์แต่งหน้า  

ทุกสิ่งที่จะมาสัมผัสกับเครื่องสำอางควรจะสะอาดที่สุด ต้องล้างมือและต้องล้างหน้าให้สะอาดก่อนใช้ ถ้าจะให้ดีควรใช้อุปกรณ์ที่สะอาดช่วยตักครีมขึ้นมาใช้ นอกจากนี้ อุปกรณ์แต่งหน้าต่างๆ เช่น ฟองน้ำ พู่กัน แปรงและพัฟทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ต้องสัมผัสกับเครื่องสำอาง จึงจำเป็นต้องรักษาความสะอาดอยู่เสมอ ด้วยการนำมาซักด้วยสบู่ หรือแชมพูอ่อนๆ และตากลมให้แห้งก่อนนำมาใช้ หากเป็นไปได้ควรทำทุก ๆ 1 อาทิตย์นะคะ

5. ซื้อแต่เครื่องสำอางที่เพิ่งผลิต

เลือกซื้อเครื่องสำอางที่ผลิตออกมาเป็นล็อตใหม่ ๆ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ผลิตออกมาภายในปีที่คุณเลือก โดยตรวจเช็คจากวันเดือนปีที่ผลิตรวมถึงวันหมดอายุของเครื่องสำอางทุกครั้ง ก่อนซื้อด้วย เพื่ออายุการใช้งานของมันจะได้ยาวนานขึ้น


ควรใส่ใจ : ควรเลือกซื้อเครื่องสำอางแบบรีฟีล เพราะจะช่วยลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น คือจะลดราคาตลับหรือบรรจุภัณฑ์ใหม่ทุกครั้ง และที่สำคัญการเติมผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกครั้ง ต้องล้างเช็ดตลับหรือขวดให้สะอาดและแห้งก่อนบรรจุใหม่ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีอายุการใช้งานได้นานขึ้นได้ ลดจำนวนรอบของการซื้อเครื่องสำอางได้มากอีกด้วย


เห็นหรือไม่คะ ว่าการเลือกใช้และรักษาเครื่องสำอางชิ้นโปรดให้อยู่กับเราให้ได้นานและคุ้มค่าที่สุด ไม่ยากเลย เพียงเราเพิ่มความใส่ใจอีกสักนิด ก็จะเป็นอีกวิธีที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากเลยค่ะ 

10/12/56

On 01:09 by Moneytips in    No comments

13 เคล็ดลับประหยัดเงินในการซื้อเครื่องสำอาง

ผู้หญิงจำนวนมาก ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องสำอางและหลายคนที่รู้สึกยากในการตัดใจไม่ซื้อสินค้าที่ชื่นชอบซึ่งมีราคาแพงแต่นั่นจะช่วยให้คุณประหยัดเงินได้มากนี่คือบางส่วนเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณประหยัดเงินในการแต่งหน้าได้ ดังนี้

1 พิจารณาเหตุผลของการแต่งหน้า
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีเหตุผลในการแต่งหน้าคืออะไรต้องการแต่งหน้าให้ดูสวย ดูเป็นมืออาชีพในการทำงานหรือไม่หรือซื้อเครื่องสำอางเพราะสนุกที่ได้ซื้อ ถ้าเป็นอย่างหลังคุณต้องพยายามทำลายนิสัยการช้อปปิ้งเช่นนี้

2 ลองก่อนที่จะซื้อมัน
หลายครั้งที่คุณซื้อเครื่องสำอางแล้วไม่ได้เป็นไปตามคาดหวังทำให้คุณไม่ได้ใช้ของชิ้นนั้นได้ดังนั้นคุณจึงควรศึกษาให้แน่ชัดก่อนว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ซื้อตรงกับที่ต้องการหรือไม่โดยอาจลองใช้ตัวอย่างที่เคาน์เตอร์ และศึกษาเงื่อนไขด้วย เพราะอาจผลิตภัณฑ์บางแบรนด์จะสามารถคืนเงินได้หากผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามคาดหวัง

3 ซื้อสินค้าที่สำคัญที่สุด
เลือกซื้อเครื่องสำอางที่ใช้เป็นประจำ แทนการซื้อให้ครบทุกชิ้นแต่อาจไม่ได้ใช้ทั้งหมด

4 ซื้อแปรงแต่งหน้าที่มีคุณภาพ
การซื้อแปรงแต่งหน้าที่มีคุณภาพ จะทำให้คุณสามารถแต่งหน้าได้ง่ายยิ่งขึ้นแต่จะมีราคาแพงมากคุณจะสามารถใช้แปรงนั้นไปได้นานก็ต่อเมื่อคุณใช้มันอย่างถูกต้องและดูแลรักษาอย่างถูกวิธีก็จะช่วยให้ยืดอายุแปรงให้ใช้ได้อย่างคุ้มค่าวิธีการทำความสะอาดแปรงและฟองน้ำ คุณควรล้างน้ำและสบู่ทุกๆ 3-4 เดือนโดยให้น้ำก็อกไหลจากโคนไปปลายแปรง และปล่อยให้แห้งบนผ้าขนหนูสะอาด

5 พิจารณาวันหมดอายุ
เครื่องสำอางจะมีช่วงวันหมดอายุที่แตกต่างกัน เช่นมาศคาร่ามีอายุใช้งาน 3 เดือน ส่วนอายุไลน์เนอร์ มีอายุใช้งาน 2 ปีดังนั้นหาคุณซื้อเครื่องสำอางจึงควรแน่ใจว่าจะสามารถใช้งานได้หมดก่อนวันหมดอายุถ้าพบว่าคุณไม่สามารถใช้งานได้หมดทัน คุณควรพิจารณาซื้อแบรนด์ที่ถูกกว่าแทน

6 ซื้อสินค้าในช่วงโบนัส
หลายบริษัทผลิตเครื่องสำอางจะจัดช่วงเทศกาลโบนัสให้กับลูกค้าเป็นครั้งคราวโดยจะมีของแถมหรือลดราคาสินค้าบางตัวลงไปมาก

7 ขอเป็นของขวัญ
สำหรับวันเกิดหรือวันคริสต์มาสคุณอาจขอของขวัญเป็นเครื่องสำอางแทน เพื่อคุณจะได้เครื่องสำอางชิ้นโปรดโดยที่ไม่ต้องซื้อเอง

8 แต่งหน้าฟรีที่โรงเรียนเสริมความงาม
ตามโรงเรียนเสริมความงามจะมีนักเรียนที่เรียนแต่งหน้า ต้องการคนมาเป็นแบบให้แต่งหน้าดังนั้นก็จะได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คุณก็ได้แต่งหน้าฟรี หรือราคาไม่แพง ส่วนนักเรียนก็ได้ฝึกฝีมือไปด้วย

9 จัดเก็บใหม่ ใช้ต่อได้
สำหรับเครื่องสำอางที่ packageแตกหัก ไม่ควรรีบทิ้งเครื่องสำอางนั้น แต่ควรขูดผลิตภัณฑ์ที่เหลือลงใน Packageใหม่ ก็จะยังคงนำมาใช้ต่อได้

10 ใช้มากกว่าหนึ่งวัตถุประสงค์
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมีวันหมดอายุดังนั้นการหาผลิตภัณฑ์ที่คุณสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์มากกว่าหนึ่งอย่าง เช่นทินน์ ที่สามารถทาปาก อีกอย่างก็สามารถนำมาทางแก้มแทนบรัซออนได้อีกจะก็ทำให้คุณสามารถประหยัดเงินได้มากขึ้น

11 ซื้อสินค้าจากร้านDuty Free
ถ้าคุณเดินทางไปต่างประเทศ แล้วต้องการซื้อสินค้าที่ชื่นชอบควรซื้อในร้านค้าปลอดภาษี ซึ่งจะมีข้อเสนอพิเศษของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการอีกด้วย 

12 น้อยมาก
ในการแต่งหน้า จำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางเพียงเล็กน้อยเท่านั้นไม่ควรหักโหมใช้ในปริมาณมากๆ เช่นฟองน้ำแต่งหน้าควรใช้พื้นที่ในการสัมผัสรองพื้นเพียงเล็กน้อย เพื่อที่จะไม่ดูดเนื้อผลิตภัณฑ์รองพื้นมากจนเกินไปเมื่อคุณแต่งหน้าใช้เครื่องสำอางต่อครั้งอย่างคุ้มค่าที่สุดก็จะประหยัดเงินได้มากขึ้น

13 ใช้ส่วนลดพนักงาน
ถ้าคุณทำงานกับร้านขายเครื่องสำอางอาจใช้สิทธิ์ส่วนลดพนักงานได้นอกจากนี้อาจใช้ส่วนลดคูปอง ก็จะช่วยประหยัดเงินในส่วนนี้ได้มากทีเดียว

ที่มา : http://www.moneycrashers.com